ภาวะปวดท้องน้อยขณะตั้งครรภ์เป็นหนึ่งในอาการที่สร้างความวิตกกังวลให้แก่คุณแม่ตั้งครรภ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากอาการปวดบริเวณนี้อาจเป็นได้ทั้งสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาตามปกติ หรืออาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง แม้ว่าร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเพื่อรองรับการเติบโตของทารก แต่ความเจ็บปวดบางรูปแบบถือเป็นสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรละเลย
บทความนี้โรงพยาบาลศรีสุโข พิจิตร จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับการแยกแยะลักษณะอาการปวดท้องน้อย เพื่อให้รู้ว่าอาการแบบไหนต้องรีบเดินทางมาพบแพทย์โดยทันที ้เพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวคุณแม่และทารกในครรภ์
ทำความเข้าใจสรีรวิทยา อาการปวดที่เกิดขึ้นได้ตามปกติ
ในช่วงตั้งครรภ์ ร่างกายจะมีการขยายตัวของมดลูกและเนื้อเยื่อรอบข้าง อาการปวดท้องน้อยในลักษณะที่ไม่รุนแรงและเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวอาจถือเป็นเรื่องปกติที่พบได้ โดยสาเหตุหลักมักเกิดจากปัจจัยทางสรีรวิทยา ดังนี้

1. อาการปวดจากเอ็นยึดมดลูกตึงตัว (Round Ligament Pain)
เมื่ออายุครรภ์เพิ่มขึ้น มดลูกจะขยายขนาดและมีน้ำหนักมากขึ้น ส่งผลให้เอ็นยึดมดลูก (Round Ligament) ต้องรับภาระในการพยุงและเกิดการยืดตัว
- ลักษณะอาการ: เจ็บจี๊ดบริเวณท้องน้อยด้านล่าง หรือขาหนีบข้างใดข้างหนึ่ง
โดยมักเกิดขึ้นขณะเปลี่ยนท่าทาง เช่น ลุกจากที่นอน พลิกตัว หรือไอจาม อาการนี้มักหายได้เองเมื่อพักหรือเปลี่ยนอิริยาบถช้า ๆ
2. อาการเจ็บครรภ์เตือน (Braxton Hicks Contractions)
ช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 มดลูกอาจมีการบีบตัวเป็นระยะ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนคลอด
- ลักษณะอาการ: ท้องจะแข็งเกร็งและรู้สึกตึงบริเวณท้องน้อย ไม่ปวดร้าวไปที่หลัง
อาการมักไม่สม่ำเสมอและหายไปได้เมื่อนอนพักหรือดื่มน้ำ
3. ปัญหาจากระบบทางเดินอาหาร
ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้นขณะตั้งครรภ์ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง อาจเกิดภาวะท้องอืด อาหารไม่ย่อย หรือท้องผูก
- ลักษณะอาการ: อาการปวดเกร็งหรือปวดหน่วงท้องน้อยได้
สัญญาณอันตราย อาการปวดท้องน้อยที่ “รอไม่ได้”
แม้ว่าอาการปวดบางอย่างจะเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีลักษณะความเจ็บปวดที่รุนแรง เฉียบพลัน หรือมีอาการร่วมอื่นๆ อาจบ่งชี้ถึงภาวะฉุกเฉินทางสูตินรีเวชที่ต้องได้รับการรักษาทันที เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และทารกในครรภ์

1. การตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic Pregnancy)
ภาวะนี้มักแสดงอาการในช่วงไตรมาสแรก (6-10 สัปดาห์) เกิดจากการฝังตัวของตัวอ่อนนอกโพรงมดลูก เช่น ที่ท่อนำไข่
- ลักษณะอาการ: ปวดท้องน้อยรุนแรงข้างใดข้างหนึ่งอย่างเฉียบพลัน อาจมีเลือดออกทางช่องคลอด หน้ามืด หรือเป็นลม หากท่อนำไข่แตกจะทำให้เกิดการตกเลือดในช่องท้องซึ่งเป็นภาวะวิกฤต
2. ภาวะแท้งคุกคามหรือการแท้งบุตร (Miscarriage)
มักเกิดขึ้นในช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์
- ลักษณะอาการ: ปวดบีบเกร็งบริเวณท้องน้อยคล้ายปวดประจำเดือนแต่รุนแรงกว่า ปวดร้าวไปที่หลัง และมีเลือดสดหรือลิ่มเลือดไหลออกมาทางช่องคลอด
3. รกเกาะต่ำหรือรกลอกตัวก่อนกำหนด (Placental Abruption)
เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายมาก มักพบในไตรมาสสุดท้าย
- ลักษณะอาการ: ปวดท้องรุนแรงและมดลูกแข็งเกร็งตลอดเวลา (ไม่คลายตัว) อาจมีเลือดสีคล้ำไหลออกมา อาการนี้ส่งผลให้ทารกขาดออกซิเจน จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือทันที
4. ภาวะคลอดก่อนกำหนด (Preterm Labor)
หากมีอาการเจ็บครรภ์ก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์
- ลักษณะอาการ: ปวดท้องน้อยสม่ำเสมอ หรือท้องแข็งเกร็งทุก 10-15 นาที มีมูกเลือดออกทางช่องคลอด หรือมีน้ำเดิน (น้ำคร่ำแตก) ควรรรีบพบแพทย์เพื่อยับยั้งการคลอด
5. ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia)
แม้ว่าอาการหลักคือความดันโลหิตสูงและโปรตีนรั่วในปัสสาวะ แต่ในรายที่มีความรุนแรง (HELLP Syndrome)
- ลักษณะอาการ: ปวดจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวาอย่างรุนแรงร่วมด้วย
6. สาเหตุอื่นที่ไม่ใช่ทางสูตินรีเวช
สตรีตั้งครรภ์สามารถเจ็บป่วยด้วยโรคทางศัลยกรรมได้เช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เช่น ไส้ติ่งอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยแยกโรคโดยแพทย์
แนวทางการสังเกตและการปฏิบัติตัว
คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย หากไม่แน่ใจว่าอาการปวดที่เป็นอยู่นั้นปกติหรือไม่ ให้พิจารณาปัจจัยร่วมดังต่อไปนี้
- ระดับความเจ็บปวด หากปวดมากจนรบกวนชีวิตประจำวัน นอนพักแล้วไม่ดีขึ้น หรือปวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
- ตำแหน่งการปวด ปวดเฉพาะจุด ปวดร้าวไปหลัง หรือปวดทั่วท้อง
- อาการร่วม มีไข้ ตกขาวผิดปกติ เลือดออก ปัสสาวะแสบขัด หรือลูกดิ้นน้อยลง
ข้อควรระวัง ห้ามซื้อยารับประทานเองโดยเด็ดขาด เนื่องจากยาบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์

อาการปวดท้องน้อยขณะตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการวินิจฉัยที่แม่นยำ การแยกแยะระหว่างอาการปวดทั่วไปกับภาวะฉุกเฉินอาจทำได้ยากด้วยตนเอง หากคุณแม่ตั้งครรภ์มีความกังวล หรือพบสัญญาณเตือนในข้อใดข้อหนึ่ง ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที การฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้การตั้งครรภ์ดำเนินไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย
โรงพยาบาลศรีสุโข พร้อมให้บริการดูแลสุขภาพคุณแม่และทารกด้วยมาตรฐานทางการแพทย์ โดยแพทย์และพยาบาลวิชาชีพ ตลอดจนอุปกรณ์ที่ทันสมัย เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่และลูกน้อย
โรงพยาบาลศรีสุโข พิจิตร
ที่อยู่: 22/29 ถนนสระหลวง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร 66000
เบอร์โทรศัพท์: 056 612 377
สายด่วน: 063 339 3654
LINE Official: @Srisukho
เว็บไซต์: https://srisukho.co.th/



