ผู้สูงวัยเครียดสะสม เสี่ยง “ตื่นตระหนกเฉียบพลัน”

ผู้สูงอายุจำนวนมากเผชิญกับความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอายุที่เพิ่มมากขึ้น สภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงเหมือนวัยหนุ่มสาว ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง รวมถึงการสูญเสียบุคคลใกล้ชิด วิถีชีวิตหลังเกษียณ จนก่อให้เกิดความเครียดสะสมและส่งผลต่อสุขภาพจิตใจ บางคนอาจเกิดภาวะ ตื่นตระหนกเฉียบพลัน หรือ Panic Attack ขึ้นแบบกะทันหันได้ จึงควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยดูแลผู้สูงอายุอย่างเหมาะสม

อาการตื่นตระหนกเฉียบพลัน คืออะไร?

หลายคนอาจไม่ทราบว่าตัวเองหรือคนใกล้ตัวมีภาวะตื่นตระหนกเฉียบพลัน เพราะอาการนี้จะเกิดขึ้นเร็วและมีดูเหมือนโรคหัวใจ ซึ่งเป็นความรู้สึกตื่นตัวและน่าสะพรึงกลัวเฉียบพลัน โดยสามารถเกิดได้ แม้จะไม่มีเหตุการณ์อะไรในขณะนั้น มักเกิดอาการภายใน 10 นาที แล้วค่อยทุเลาในไม่กี่ชั่วโมงจนถึงวันถัดไป

อาการที่พบบ่อย เช่น หัวใจเต้นแรง เหงื่อออกมือสั่น หายใจไม่สบาย ท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้ รู้สึกเหมือนโลกหมุน มึนศีรษะ และความรู้สึกเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้

สาเหตุของอาการตื่นตระหนกในผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุจำนวนมากมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะนี้ เนื่องจากต้องเผชิญกับความเครียด ความวิตกกังวล และความเปลี่ยนแปลงมากมายในชีวิต เมื่อทุกปัญหารุมเร้าเข้ามาก็จะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น

ภาวะสับสนเฉียบพลัน

ผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล นอนติดเตียงยาว เมื่อต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อมจากเดิม อาจเกิดภาวะสับสนเฉียบพลัน ทำให้เกิดความกังวลมากขึ้นจนเกิดเป็นภาวะตื่นตระหนกเฉียบพลันขึ้น

ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจ

ปัญหาสุขภาพ อาการเจ็บป่วยเรื้อรัง และความโดดเดี่ยวจากการสูญเสียบุคคลใกล้ชิด ล้วนเป็นปัจจัยกระตุ้นความเครียด ความวิตกกังวล เมื่อสะสมมากเข้าก็ส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจในที่สุด

ผลข้างเคียงจากยาและโรคประจำตัว

ยาหลายประเภท โรคติดเชื้อ หรือภาวะสมองเสื่อม ทำให้ระบบประสาทตอบสนองไวขึ้นจนเกิดอาการตื่นตระหนกได้ง่าย จึงมีภาวะตื่นตระหนกเฉียบพลันได้โดยไม่รู้ตัว

วิธีดูแลและรับมืออาการอย่างใกล้ชิด

การดูแลต้องเริ่มจากการสังเกตอาการพื้นฐาน เช่น อารมณ์ การกิน การนอน และความผันผวนของพฤติกรรม หากพบสัญญาณที่ต่างจากปกติควรเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด สำหรับผู้สูงอายุหรือคนดูแลผู้สูงอายุ แนะนำให้ใช้เทคนิคควบคุมอาการ เช่น การหายใจช้าๆ ลึกๆ ให้นั่งพักในที่ปลอดภัย เมื่อมีอาการควรแจ้งคนรอบข้างให้รู้ เพื่อจะช่วยกันรับมืออย่างเหมาะสม กรณีที่อาการไม่ดีขึ้น ควรพามาพบแพทย์

ปรับชีวิตประจำวัน ช่วยลดความเสี่ยงได้

หากอยากหลีกเลี่ยงภาวะตื่นตระหนกเฉียบพลัน สามารถทำได้โดยการปรับวิถีชีวิตประจำวันให้มีความสมดุลขึ้น หมั่นดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดี ทั้งร่างกายและจิตใจ โดยสามารถทำได้ตามวิธีต่างๆ ดังนี้

  • หมั่นเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ เช่น เดิน หรือทำกิจกรรมที่ฝึกทั้งร่างกายและสมอง
  • กรณีที่ทานยาอยู่ หากต้องการปรับเปลี่ยนยาที่ใช้ ควรปรึกษาแพทย์ ไม่ควรเปลี่ยนยาเอง
  • กระตุ้นความสัมพันธ์ด้านจิตใจอยู่เสมอ เช่น คุยกับคนในครอบครัว หรือเล่นเกมฝึกสมอง เพื่อกระตุ้นความจำ
  • ปรับบรรยากาศรอบตัวให้ เหมาะสมตามเวลา รอบตัวควรสว่างในเวลากลางวัน และไม่สว่างกว่าเวลานอน เพื่อให้สมองรับรู้เวลาปกติ

ความเข้าใจในสุขภาพจิตผู้สูงวัย

การสื่อสารแบบเข้าใจและให้เกียรติช่วยให้ผู้สูงวัยรู้สึกว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง โรคภาวะตื่นตระหนกเฉียบพลันอาจดูเหมือนไม่ร้ายแรงแต่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตระยะยาว การเปิดใจพูดคุยอย่างต่อเนื่องช่วยให้เข้าใจความต้องการแท้จริง และสามารถให้การดูแลได้อย่างเหมาะสม

หากสงสัยว่าอาการของผู้สูงวัยเป็นสิ่งที่ต้องดูแล ควรพามาประเมินร่วมกับทีมผู้ดูแลดูแลสุขภาพจิต เพื่อวางแนวทางที่เหมาะสม การใส่ใจด้านจิตใจยิ่งสำคัญไม่ต่างจากการดูแลร่างกาย และเป็นฐานที่ช่วยให้ผู้สูงวัยใช้ชีวิตได้ด้วยความสงบสุข ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายปรึกษาได้ที่

โทรศัพท์: 056 612 377
สายด่วน: 063 339 3654
LINE Official: เพิ่มเพื่อน @Srisukho
เว็บไซต์: srisukho.co.th
ที่ตั้งโรงพยาบาล: 22/29 ถ.สระหลวง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิจิตร 66000

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *


Scroll to Top