ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่พบได้บ่อยในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว เพราะสภาพอากาศเย็นและมีความชื้นสูง สามารถแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย อาจทำให้ต้องขาดเรียน หรือต้องลางานหลายวันเพื่อรักษาตัว สำหรับสายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่ที่พบการแพร่ระบาดมาก คือ สายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B
บทความนี้จะมาพูดถึงอธิบายความแตกต่างของไข้หวัดใหญ่แต่ละสายพันธุ์ รวมถึงแนะนำวิธีสังเกตอาการ และการป้องการไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะมีวิธีไหนกันบ้าง หาคำตอบได้ในบทความนี้เลย
ไข้หวัดใหญ่คืออะไร แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดายังไง
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza Virus) ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A, B และ C สายพันธุ์ที่พบมากและเป็นสาเหตุของการแพร่ระบาดในคน คือ สายพันธุ์ A และ B ส่วนสายพันธุ์ C พบได้น้อยและมีความรุนแรงต่ำกว่า
หลายคนอาจสับสนระหว่างไข้หวัดใหญ่กับไข้หวัดธรรมดา เนื่องจากทั้งสองโรคนี้มีอาการที่คล้ายกัน แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือ ไข้หวัดใหญ่จะมีอาการรุนแรงกว่า ไข้จะสูงขึ้นอย่างฉับพลัน อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจะมากกว่า และอาจมีอาการแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น ปอดอักเสบ หรือหลอดลมอักเสบ ในขณะที่ไข้หวัดธรรมดามักมีอาการค่อยเป็นค่อยไป อาการจะไม่หนักมากและหายได้เองภายในไม่กี่วัน
ความแตกต่างของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B
แม้ว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B จะมีลักษณะอาการที่ใกล้เคียงกัน แต่ทั้งสองสายพันธุ์นี้มีความแตกต่างกันในด้านการแพร่ระบาดและความรุนแรงของอาการ
- ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A เป็นสายพันธุ์ที่แพร่เชื้อได้ในทั้งคนและสัตว์ เช่น หมูและนก ซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดในวงกว้าง เมื่อติดเชื้อจะมีอาการและภาวะแทรกซ้อนมากกว่าสายพันธุ์อื่น ไวรัสสายพันธุ์ A สามารถกลายพันธุ์ได้ง่าย ทำให้วัคซีนที่ใช้ต้องปรับเปลี่ยนทุกปี เพื่อให้ทันรับมือกับสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้น
- ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B พบเฉพาะในคนเท่านั้น แม้ว่าจะทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรงได้ แต่โดยทั่วไปจะมีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์ A นอกจากนี้ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มักระบาดในวงแคบ ไม่ทำให้เกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลกเหมือนกับสายพันธุ์ A
ลักษณะ | ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A | ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B |
การแพร่ระบาด | – แพร่ระบาดในคนและสัตว์ (เช่น หมูและนก)- เป็นสาเหตุของการระบาดใหญ่ทั่วโลก (Pandemic) | – พบเฉพาะในคน- การระบาดมักจำกัดอยู่ในพื้นที่หรือฤดูกาล |
ความรุนแรง | – มีแนวโน้มก่อให้เกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนมากกว่า (เช่น ปอดอักเสบ)- อาจทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง | – มักมีอาการรุนแรงน้อยกว่า- ยังคงต้องระวังในกลุ่มเสี่ยง |
อาการของไข้หวัดใหญ่
เมื่อได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ A หรือ B อาการที่พบได้บ่อยคือ ไข้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อาการส่วนใหญ่ดูคล้ายกับไข้หวัดทั่วไป แต่ความรุนแรงของไข้หวัดใหญ่จะหนักกว่ามาก โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคประจำตัว ลักษณะอาการของไข้หวัดใหญ่ ได้แก่
- ไข้สูงเฉียบพลัน อาจสูงถึง 39 – 40° C
- อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หนาวสั่น
- ปวดเมื่อยร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อและข้อต่อ
- เจ็บคอ ไอแห้ง มีอาการคัดจมูก หรือน้ำมูกไหล
สำหรับอาการของไข้หวัดสายพันธุ์ A มักจะมีความรุนแรงกว่า และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หรือหลอดลมอักเสบได้
วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่
การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค โดยช่วยลดโอกาสป่วย และลดความรุนแรงหากติดเชื้อ การรักษาสุขอนามัยที่ดี เช่น การล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล และหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะจมูก ปาก และดวงตา ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อได้ นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาด และหากมีอาการป่วยควรพักอยู่ที่บ้านจนกว่าจะหายดี เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่ไปสู่ผู้อื่น
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง การเข้าใจความแตกต่างระหว่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B รวมถึงการป้องกันและการดูแลตัวเองเมื่อป่วย จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคและทำให้เราสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองและคนรอบข้างได้ดีขึ้น การฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปีและการรักษาสุขอนามัยที่ดีเป็นวิธีที่ดีในการป้องกันโรคนี้