ดูแลคนชราอย่างใส่ใจ แต่ต้องไม่ลืมดูแลใจตัวเอง ผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้ดูแลสูงวัย

สังคมไทยเป็นสังคมที่ลูกหลานมักดูแลญาติผู้ใหญ่อย่างใกล้ชิด หลายครอบครัวเป็นครอบครัวใหญ่ มีผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ปู่ย่าหรือตายาย การดูแลด้วยความรักและความตั้งใจเป็นสิ่งที่ดี แต่อีกด้านหนึ่ง ผู้ดูแลมักต้องแบกรับภาระอย่างต่อเนื่อง ทั้งร่างกาย อารมณ์ และเวลา ซึ่งหากละเลยที่จะดูแลใจตัวเอง อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่สะสมโดยไม่รู้ตัว

ปัญหาของการดูแลผู้สูงอายุ

หลายคนต้องเป็นทั้งลูก หลาน พ่อแม่ และผู้ดูแลในเวลาเดียวกัน ไม่ใช่แค่ป้อนข้าวหรือพาไปพบแพทย์ แต่ยังรวมถึงดูแลเรื่องยา ความปลอดภัย ความสะอาด และรองรับอารมณ์ของผู้สูงอายุในแต่ละวันด้วย ภาระที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้ดูแลบางคนรู้สึกอ่อนล้าโดยไม่ทันสังเกต บางคนต้องใช้ความอดทนอย่างมาก แม้ในใจจะเริ่มไม่ไหวก็ยังคิดว่าตัวเองไม่ควรบ่นหรือเหนื่อย พยายามฝืนทำหน้าที่ให้ดีที่สุด สุดท้ายความเหนื่อย ความเครียด ที่สะสมก็จะกลายเป็นต้นเหตุของความเครียดเรื้อรังในระยะยาว

เมื่อการดูแลผู้สูงวัย กลายเป็นความเครียดสะสม

การดูแลผู้สูงอายุไม่ได้มีแค่ภาระทางกาย แต่ยังรวมถึงความรับผิดชอบที่มากกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อผู้สูงวัยมีโรคเรื้อรัง ภาวะสมองเสื่อม หรือมีพฤติกรรมที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น หงุดหงิด สับสน หรือมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย ผู้ดูแลอาจรู้สึกกดดัน วิตกกังวล หรือเหนื่อยจนหมดแรง ซึ่งหากไม่จัดการอย่างเหมาะสม จะนำไปสู่ภาวะหมดไฟ หรือแม้แต่ภาวะซึมเศร้า

สัญญาณที่ควรระวังในตัวผู้ดูแลผู้สูงอายุ

ก่อนที่ใจจะเหนื่อยล้าจนไม่ไหว มักจะมีอาการให้สังเกตเห็นก่อน หากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่า เรากำลังแบกรับภาระมากเกินไป สัญญาณที่ควรระวัง มีดังนี้

  • รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา นอนหลับไม่สนิท
  • หงุดหงิดง่าย หรือมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย
  • รู้สึกวากำลังทำทุกอย่างอยู่คนเดียว
  • ไม่มีความสุขในกิจกรรมที่เคยชอบ
  • มีความคิดโทษตัวเอง หรือรู้สึกไร้ค่า

วิธีดูแลใจตัวเองสำหรับผู้ที่ต้องดูแลผู้สูงอายุ

มีเวลาให้กับตัวเองบ้าง

แม้จะมีหน้าที่มากมาย แต่ควรจัดเวลาให้ตัวเองได้พัก ไม่ว่าจะเป็นเพียงไม่กี่นาทีในแต่ละวันเพื่อฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือแค่นั่งเงียบๆ เพื่อฟื้นฟูจิตใจ การได้อยู่กับตัวเองสั้นๆ เป็นประจำช่วยลดความเครียดได้จริง

ยอมรับว่าทุกคนมีขีดจำกัด

การยอมรับว่าตัวเองเหนื่อย ไม่ได้แปลว่าอ่อนแอ แต่เป็นสัญญาณที่ดีว่ารู้จักตัวเอง การพักบ้างในบางช่วง ช่วยให้กลับมาใส่ใจคนอื่นได้ดีขึ้น ควรหาคนที่ไว้ใจได้เพื่อระบายความรู้สึก อาจเป็นเพื่อน คนในครอบครัว หรือผู้ให้คำปรึกษาทางจิตใจ การพูดออกมาช่วยให้ใจเบาลง และยังอาจได้รับคำแนะนำที่มีประโยชน์ในการจัดการปัญหาด้วย

แบ่งภาระให้คนในครอบครัว

ถ้ามีคนในบ้านมากกว่าหนึ่งคน การแบ่งหน้าที่จะช่วยให้ทุกคนไม่เหนื่อยเกินไป ลองพูดคุยกับสมาชิกในบ้านเพื่อแบ่งหน้าที่ เช่น ให้คนหนึ่งดูแลเรื่องยา อีกคนช่วยทำอาหาร หรือหาคนช่วยพาไปพบแพทย์ ถ้ามีคนใกล้ชิดคอยช่วยเหลือซัพพอร์ตเราบ้าง เราก็จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว และรู้สึกเหนื่อยน้อยลง

ใช้บริการช่วยเสริมจากโรงพยาบาล

บางครอบครัวอาจเลือกใช้บริการดูแลผู้สูงวัยเป็นบางวัน เช่น ตรวจสุขภาพตามนัดเป็นครั้งคราว วิธีนี้ช่วยให้ผู้ดูแลได้พัก และผู้สูงวัยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง บางโรงพยาบาลมีบริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงวัย ไม่ว่าจะเป็นการอบรมให้ความรู้ หรือบริการตรวจสุขภาพและติดตามภาวะสมองเสื่อม นอกจากนี้บางแห่งยังมีโปรแกรมดูแลสุขภาพจิตของผู้ดูแลร่วมด้วย

ทุกคนที่รับหน้าที่ดูแลผู้อื่นควรใส่ใจความรู้สึกของตัวเองควบคู่กันไปด้วย ไม่ใช่เพื่อหลีกหนีภาระ แต่เพื่อให้มีพลังใจที่จะทำหน้าที่นั้นอย่างเต็มที่ในระยะยาว เมื่อเราให้ความสำคัญกับใจตัวเองพอๆ กับการดูแลคนอื่น ความเหนื่อยล้าจะลดลง และมีแรงพอที่จะมอบความห่วงใยให้กับผู้สูงอายุได้ต่อเนื่องโดยไม่หมดแรงกลางทาง

โรงพยาบาลศรีสุโข พิจิตร
ที่อยู่: 22/29 ถนนสระหลวง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร 66000
โทรศัพท์: 056 612 377
สายด่วน: 063 339 3654
LINE Official: @Srisukho
เว็บไซต์: https://srisukho.co.th

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top