ลูกไอหนักจนหน้าแดง ฟังเสียงให้ดี! ‘โรคไอกรน’ อาการเริ่มแรกที่พ่อแม่ต้องรีบรู้

เด็กเล็กที่เริ่มมีอาการไอแบบรุนแรง จนถึงขั้นหน้าแดง หายใจติดขัด และมีเสียงไอที่ฟังดู “แหลมและลากยาวคล้ายเสียงกรน” ไม่ใช่เรื่องที่ควรละเลย เพราะอาจเป็นสัญญาณของ “โรคไอกรน” ซึ่งแม้จะสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน แต่ก็ยังพบผู้ป่วยในหลายกลุ่มอายุ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบ

โรคไอกรน คืออะไร?

โรคไอกรน เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Bordetella pertussis ติดต่อกันผ่านละอองฝอยในอากาศ เช่น จากการไอ จาม หรือพูดคุยใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ โดยโรคนี้สามารถแพร่กระจายได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่มีภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์

อาการของไอกรน แบ่งออกเป็น 3 ระยะ

  1. ระยะเริ่มต้น (1-2 สัปดาห์)
    อาการคล้ายหวัดทั่วไป เช่น น้ำมูกไหล ไอแห้ง ๆ ไข้ต่ำ ไม่รุนแรง พ่อแม่ไม่ทันสังเกต เพราะอาการดูเหมือนไข้หวัดธรรมดา
  2. ระยะอาการรุนแรง (1-6 สัปดาห์)
    ระยะนี้เป็นจุดสำคัญที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด อาการที่เห็นชัดคนไข้จะไอเป็นชุด รุนแรงขึ้น ไอติดต่อกันเป็นชุดถี่ๆ 5-10 ครั้ง หรือมากกว่านั้นในลมหายใจเดียว วิธีสังเกตอาการ
    • ไอรุนแรงจนหายใจแทบไม่ทัน
    • มีเสียง “วู๊ป” หรือเสียงลากยาวหลังจากไอหลายครั้งติดต่อกัน
    • บางรายอาจไอจนหน้าเขียว อาเจียน หรือเหนื่อยล้า
    • เด็กทารกบางคนอาจหยุดหายใจชั่วคราว

ข้อควรระวังในทารก: ในทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือน อาจไม่แสดงอาการไอเป็นชุดหรือไม่มีเสียง “วู้ป” ที่ชัดเจน แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ ทารกอาจมีอาการ หยุดหายใจชั่วขณะ (Apnea) หรือมีอาการตัวเขียว ซึ่งเป็นสัญญาณอันตราย ต้องรีบพาไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด

  1. ระยะฟื้นตัว (2-3 สัปดาห์ หรืออาจนานเป็นเดือน)
    อาการไอค่อย ๆ ลดลง ลดความรุนแรงและความถี่ลง ร่างกายจะค่อยๆ ฟื้นตัว แต่ยังคงมีอาการไอเรื้อรังต่อเนื่องนานหลายสัปดาห์ และอาจกลับมาไอเป็นชุดได้อีกหากมีการติดเชื้อทางเดินหายใจอื่นๆ แทรกซ้อน

ทำไมโรคไอกรนถึงอันตรายสำหรับเด็กเล็ก

เด็กทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบ จะมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น

  • ปอดอักเสบ
  • หายใจล้มเหลว
  • อาการชักจากการขาดออกซิเจน
  • หยุดหายใจแบบเฉียบพลัน

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ โรคไอกรนในเด็กเล็กจึงเป็นภาวะที่ต้องได้รับการดูแลและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด การป้องกันไว้ก่อนจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการที่สตรีมีครรภ์เข้ารับวัคซีนไอกรนในช่วงตั้งครรภ์ และการพาทารกไปรับวัคซีนพื้นฐานให้ครบตามกำหนด

แนวทางการดูแลรักษา

หากแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคไอกรน การรักษาโรคไอกรนจะมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการ ลดการแพร่กระจายเชื้อ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

  • แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ยาปฏิชีวนะจะช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ผู้ป่วยลดการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
  • ช่วงเวลาที่เหมาะสม การให้ยาจะได้ผลดีหากเริ่มให้ตั้งแต่ในระยะแรก (ระยะคล้ายไข้หวัด) หากเริ่มยาในระยะไอรุนแรง อาจไม่ช่วยลดระยะเวลาการไอได้มากนัก แต่ยังจำเป็นเพื่อหยุดการแพร่เชื้อ

การดูแลตามอาการ (Supportive Care)

นี่คือส่วนสำคัญที่สุด โดยเฉพาะในทารกและเด็กเล็กที่มักต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

  • การเฝ้าระวังการหายใจ โดยเฉพาะในทารกที่อาจมีภาวะหยุดหายใจ
  • การดูดเสมหะ เพื่อช่วยให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น
  • การให้ออกซิเจน ในรายที่มีภาวะขาดออกซิเจน
  • การดูแลที่บ้าน (สำหรับอาการไม่รุนแรง)
    • พักผ่อนให้เพียงพอ
    • ดื่มน้ำมากๆ (ควรเป็นน้ำอุ่น) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและช่วยให้เสมหะไม่เหนียวข้น
    • หลีกเลี่ยง สิ่งกระตุ้นที่ทำให้ไอมากขึ้น เช่น ควันบุหรี่ ฝุ่นละออง อากาศเย็น
    • รับประทานอาหารมื้อเล็กๆ แต่บ่อยครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงการอาเจียนหลังไอ

วัคซีนป้องกันไอกรน สำคัญแค่ไหน

วัคซีนที่ใช้ป้องกันไอกรน คือ วัคซีน DTP (ป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก และไอกรน) สำหรับเด็ก ควรได้รับวัคซีนตามช่วงอายุที่กำหนด ได้แก่

  • 2 เดือน
  • 4 เดือน
  • 6 เดือน
  • 1 ปี 6 เดือน
  • 4-6 ปี

อ้างอิงตามแนวทางมาตรฐาน บางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ใหญ่ที่มีเด็กเล็กในบ้านฉีดวัคซีนเสริมเพื่อป้องกันการนำเชื้อเข้าสู่ครอบครัว

พ่อแม่ควรสังเกตอะไรเพิ่มเติม แบบนี้ต้องรีบไปโรงพยาบาล

หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพาเด็กพบแพทย์ทันที

  • ไอลากเสียงยาวจนหมดแรง
  • ไอซ้ำจนหน้าเขียวหรือหน้าแดงจัด
  • หายใจเหนื่อย หายใจไม่ทัน
  • มีเสียงแหลมเวลาหายใจหรือหลังจากไอ
  • เด็กทารกหยุดหายใจ หรือดูดนมได้น้อยลงผิดปกติ

สัญญาณฉุกเฉิน ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที

  • หายใจลำบาก หายใจไม่ทัน
  • ใบหน้า ริมฝีปาก หรือเล็บ เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ
  • มีภาวะหยุดหายใจชั่วขณะ (โดยเฉพาะในทารก)
  • มีอาการชัก

ไอกรนอาจเริ่มต้นเหมือนไข้หวัดธรรมดา แต่หากพ่อแม่ฟังเสียงไออย่างใกล้ชิด จะพบว่าเสียงของโรคนี้มีลักษณะเฉพาะ หากพบอาการที่น่าสงสัย อย่ารอช้า รีบนำบุตรหลานไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะโรคนี้หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลต่อระบบหายใจและอวัยวะสำคัญอื่น ๆ ได้

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับสุขภาพเด็ก หรือต้องการขอรับคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่

โรงพยาบาลศรีสุโข พิจิตร
ที่อยู่: 22/29 ถนนสระหลวง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร 66000
โทรศัพท์: 056 612 377
สายด่วน: 063 339 3654
LINE Official: @Srisukho
เว็บไซต์: https://srisukho.co.th

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *


Scroll to Top